“ชีวิตช่วงโควิดเหมือนติดเกาะ จะไปไหนก็ลำบาก กลัวไปหมด เรื่องงานอีเว้นท์ก็ไม่ต้องพูดถึง ช่วยกันประคองบริษัทให้อยู่รอดรอวันปลดล็อค ก็คงได้กลับมาเห็นตู้ล่าม กับหูฟังแปลภาษาวางเรียงรายในห้องประชุมกันอีกครั้ง”
ในช่วงจัดงานประชุมไม่ได้แบบนี้ ว่างสิครับ ทำอะไรดี ฝนก็ตก อากาศช่วงฝนพรำมันเย็นฉ่ำ สบายตัวจริงๆ ว่าแล้วก็หยิบหนังสือแผนที่ กะจะมองหาจุดหมายปลายทางสักแห่งไม่ไกลจากกรุงเทพฯ นัก ใช้เวลาสัก 3-4 วัน มองไปมองมาทั่วไทย ก็ปักหมุดไป เที่ยวสังขละบุรี กันดีกว่าครับ
จะว่าไปแล้ว ผมมีอดีตกับ “กาญจนบุรี” และ “สังขละบุรี” มาเป็นสิบปีแล้ว ทั้งมาเที่ยวตามสมัยนิยมแถวๆ สะพานข้ามแม่น้ำแควกับพ่อแม่ มาเที่ยวน้ำตกกับพี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ หรือมาเที่ยวออฟโร๊ด บุกตะลุยไปจนถึงเกาะสะเดิ่ง กองม่องทะ สะเน่พ่อง กับเพื่อนๆ ขาลุย เรียกได้ว่า อดีตกับกาญจนบุรี และ เที่ยวสังขละบุรี แทบจะครบทุกเรื่องแล้วล่ะ
ทริปนี้ “แอดมึน” ไปกันแบบครอบครัวสี่คนครับ แต่เศรษฐกิจแบบนี้ ก็เอาแบบประหยัดสุดแล้วกันครับ เรื่องรถ ก็เป็น Toyota Camry 2.5 HVP Hybrid ที่ทำให้ผมหมดห่วงเรื่องน้ำมันไปได้ เพราะคันนี้ใช้ทั้งน้ำมัน Gasohol 91/E20 และ ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ไฮบริด รวมกัน น้ำมันเต็มถังไปกลับได้เป็นพันกิโล
ส่วนเรื่องที่พัก ผมมักจะจองผ่าน agoda เป็นประจำครับ (จนตอนนี้เป็น agoda VIP:Platinum ไปละ) ด้วยเพราะความสะดวก และสามารถเลือกที่พักที่เราต้องการ พร้อมเห็นภาพห้องพัก และตำแหน่งที่ตั้งก่อนตัดสินใจ และที่สำคัญโปรโมชั่นราคาห้องพักต่างๆ ก็ช่วยให้นักเดินทางกระเป๋าแบนอย่างผม ตัดสินใจเลือกห้องพักได้ง่ายขึ้น
ทริปนี้วางแผนแบบไม่ต้องละเอียดมาก ขอเพียงได้ไป เที่ยวสังขละบุรี ให้สมใจอยาก แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ แต่ที่หวังจะเห็นมากๆ ก็คือ “น้ำตก” ครับ เพราะฝนตกแบบนี้ เป็นโอกาสเหมาะที่จะไปชมน้ำตกสวยๆ ของเมืองกาญจน์กัน
เริ่มทริปที่ “เขื่อนแม่กลอง”
ทริปนี้เริ่มตอนบ่ายสองหน่อยๆ ครับ รอเจ้าลูกสาวเรียนออนไลน์เสร็จ ล้อก็หมุน ช่วงล็อคดาวน์แบบนี้ รถราไม่ค่อยติด เดินทางไปไหนค่อนข้างคล่องตัว ผมมาถึง อ.ท่ามะกา ราวๆ บ่ายสี่โมง ความทรงจำสมัยทำหนังสืออีบุ๊คท่องเที่ยว Binoculars ก็ผุดขึ้นมาทันทีครับ ผมเลยเลี้ยวเข้าไปที่ “เขื่อนแม่กลอง” เป็นการประเดิมทริปนี้

“เขื่อนแม่กลอง” เป็นเขื่อนทดน้ำขนาดใหญ่ ที่สร้างขึ้นบนแม่น้ำแม่กลอง เมื่อ พ.ศ. 2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ให้เรียกว่า “เขื่อนวชิราลงกรณ” และต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็น “เขื่อนแม่กลอง” เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2544 เขื่อนแห่งนี้รับน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์ อ.ศรีสวัสดิ์ และเขื่อนวชิราลงกรณ์ อ.ทองผาภูมิ ทำให้เขื่อนแม่กลองสามารถส่งน้ำทางคลองชลประทานให้แก่พื้นที่เพราะปลูกได้ถึง 7 จังหวัด คือ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และเพชรบุรี
มาวันนี้ น้ำที่ผ่านตัวเขื่อนแรงสะใจเลยครับ เสียงน้ำซัดผ่านประตูน้ำสะเทือนหู พร้อมปล่อยละอองน้ำลอยฟุ้งขึ้นมาบนจุดชมเขื่อนให้ได้กลิ่นน้ำกลิ่นดินให้ชื่นใจ
จุดหมายต่อไปก็ขับรถข้ามสันเขื่อนไป แล้วเลี้ยวขวาไปตามถนนเลียบแม่น้ำแม่กลองไปยัง “วัดถ้ำเสือ”
มาที่วัดถ้ำเสือแล้วอย่าสับสนนะครับ เพราะด้านล่างของเนินเขานี้ มีอีกวัดหนึ่งคือ “วัดถ้ำเขาน้อย” ซึ่งเป็นวัดจีนที่อยู่ติดกับวัดถ้ำเสือ และมีเจดีย์ทรงจีน คือ “พระเจดีย์คีรีบรมธาตุ” หากมีเวลาก็แวะชมได้ครับ แนะนำว่าขึ้นไปแล้วการได้เห็นทั้งวิว และสิ่งก่อสร้างบนเขานั้นคุ้มค่าที่ได้แวะมาก

วัดถ้ำเสือแห่งนี้ ผมชอบและทึ่งในการสร้างวัดบนเขาให้ยิ่งใหญ่อลังการ และสวยงามอีกแห่งหนึ่งในประเทศไทย และยังมีบริการรถรางสำหรับผู้สูงอายุ ที่อาจจะเดินขึ้นบันไดไม่ไหว แต่วันที่ไปนั้นไม่แน่ใจว่าหยุดบริการเพราะโควิด หรือมาหลังเวลาทำการแล้วนะครับ เลยให้เด็กๆ ได้ออกแรงขาเดินขึ้นบันไดร้อยขั้นไปกราบ “หลวงพ่อชินประทานพร” กันครับ


ด้านซ้ายคือ “เจดีย์เกศแก้วมหาปราสาท” ที่ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุให้ได้กราบบูชากันครับ และพระพุทธรูปด้านขวาคือ “หลวงพ่อชินประทานพร” เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ปางประทานพร ความสวยงามคือการมีเรือนแก้วสองชั้นครอบองค์พระ ซึ่งหลวงพ่อชินประทานพรนี้ เป็นพระพุทธรูปที่สูงที่สุดในประเทศไทยเชียวครับ


อีกหนึ่งไฮไล้ท์ที่วัดถ้ำเสือแห่งนี้คือด้านหลังองค์พระ จะมีวิวทุ่งนาเขียวขจี (ในช่วงปลูกข้าวใหม่ๆ) มองแล้วสบายตาเชียวครับ และประกอบกับวันนั้นฝนกำลังไล่มาจากภูเขาด้านหน้า กลิ่นฝนกลิ่นดินถูกลมพัดมา ดมแล้วชื่นใจ สดชื่นสุดๆ ครับ อาคารด้านล่างทางขวามือกลางทุ่งนานั้น ได้ข่าวว่าเป็นร้านอาหารชื่อ “ไอดิน-กลิ่นข้าว” ดูท่าวิวจะสวยซะด้วย เอาไว้วันหลังค่อยมาแล้วกัน วันนี้ฝนกำลังไล่แล้ว รีบเข้าเมืองก่อนครับ

กว่าจะเข้าเมืองกาญจน์ได้ ก็พลบค่ำพอดีครับ ประกอบกับฝนตกด้วย บรรยากาศในเมืองกาญจน์วันนั้นคือชุ่มฉ่ำสุดๆ สำหรับมื้อค่ำ ก็เอาแบบง่ายๆ แถวๆ ตลาดโต้รุ่งตรงสถานีขนส่งกาญจนบุรี ขายอาหารหลากหลายเมนูทั้งตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว ยำ ไก่ทอด เครื่องดื่ม รวมถึงธนาคาร ร้านสะดวกซื้อต่างๆ ก็มีครบครัน

อากาศเย็นๆ แบบนี้ อยากจัดอะไรร้อนๆ ครับ เดินไปเดินมาก็มาเจอร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋น ข้าวมันไก่ร้านนี้แหละ

ซื้อหาอาหารมื้อค่ำเรียบร้อยแล้ว ก็ไปที่พักกันครับ คืนนี้ ผมเลือกพักที่ Sky Resort กับห้องใกล้สระว่ายน้ำแบบนี้ คืนละ 578.09 บาท ครับ ตัวห้องพักกว้างขวางดีครับ เหมาะสำหรับผมพอดีที่มากัน 4 คน ขนของก็สะดวก ใกล้กับที่จอดรถบริเวณด้านหน้ารีสอร์ท

ตื่นเช้ามา ก็ออกจะเสียดายเล็กน้อยครับ ที่พอได้เห็นสระว่ายน้ำแบบนี้ น่าจะมีเวลาพาเด็กลงมาเล่น แต่ว่าเวลาน้อยครับ เพราะจุดหมายปลายทางวันนี้อยากพาเด็กๆ ไปชม สะพานข้ามแม่น้ำแคว, น้ำตกไทรโยคน้อย และปลายทางที่สังขละบุรีให้เร็วที่สุด เลยต้องรีบเช็คเอ้าท์ดีกว่าครับ

ออกจาก Sky Resort แล้วก็รีบมุ่งหน้ามาที่สะพานข้ามแม่น้ำแควเลยครับ มาแวะถ่ายรูปรถไฟโบราณสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่สถานีแควใหญ่ ถ่ายไปถ่ายมาลืมไปที่ “สะพานข้ามแม่น้ำแคว” ซะงั้น ปัดโธ่ เลยขอเอารูปสะพาน เมื่อสมัยทำหนังสือ Binoculars มาประกอบในโพสท์นี้แทนนะครับ


เช้าๆ ว่าจะไม่พูดถึงของกินละครับ แบบ…จะรีบไป แต่กลิ่นไก่ทอดมันยั่วยวน ชวนดม หอออออออมมาจนถึงรถไฟโบราณเลย ตัวผู้ใหญ่ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่เด็กนี่สิ ได้กลิ่นไก่ทอดไปถึงกับเคลิ้ม รบเร้าอยากกินขึ้นมา เห็นลูกอยาก เราก็อยากไปด้วย สุดท้ายก็โดนกันไป และก็อร่อยคุ้มค่าการได้มาลองจริงๆ ครับ ไก่ทอดร้อนๆ หนังกรอบๆ กินพร้อมข้าวเหนียวอุ่นๆ หุหุหุ แนะนำเลยครับ ไก่ทอดริมทางรถไฟ สถานีแควใหญ่ และร้านถัดกันก็ขายข้าวหมาก ของโปรดของผมอีก แบบนี้ มีหรือจะพลาด จัดมาให้หมด


แวะน้ำตกไทรโยคน้อย
หนึ่งในไฮไล้ท์ของทริปนี้ ก็คือ “น้ำตกไทรโยคน้อย” อันเป็นที่ตั้งของสถานีสุดสายปลายทางของทางรถไฟสายตะวันตก ที่ “สถานีน้ำตก”


น้ำตกไทรโยคน้อยในวันนี้ สวยมากครับ สายน้ำขาวสะอาด ตกลงมากระทบกับหินด้านล่าง ก่อให้เกิดละอองน้ำฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ วันนั้นไม่มีนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำ ด้วยมาตรการการป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผมสามารถเก็บภาพถ่าย “น้ำตกไทรโยคน้อย” แบบเพียวๆ ได้เป็นครั้งแรก

ความชุ่มฉ่ำของน้ำตกไทรโยคน้อยในช่วงฤดูฝนนี้ ทำให้เกิดสีสันความเขียวขจีสวยสดชื่นมาก พบเห็นได้ทั่วบริเวณ ทั้งตามโขดหินต่างๆ ล้วนมีพืชพรรณน้อยใหญ่ เปล่งสีเขียวสด เป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า และสายน้ำได้เป็นอย่างดี คนที่วันๆ เห็นแต่ตึกในกรุงเทพฯ อย่างผม ได้เห็นใบไม้ใบหญ้าเขียวสดแบบนี้ ยังไงก็ต้องขอถ่ายรูปเก็บไว้ดูให้ผ่อนคลายสายตาหน่อยครับ ทริปนี้ใช้ Samsung Galaxy S21 Ultra 5G มาถ่ายรูปตลอดทริป ก็ช่วยให้หายคิดถึงกล้อง Canon EOS R ไปได้สักหน่อย

ได้ เที่ยวสังขละบุรี สักที
ในที่สุด เจ้า Toyota Camry 2.5 HVP ก็พาผมมาถึง อ.สังขละบุรี แล้วครับ การวิ่งผ่านถนนคดเคี้ยว ขึ้นเขาลงเขา มาตลอดเส้นทางด้วยความมั่นใจ ทั้งอัตราเร่งของรถที่ได้จากเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้า พาผมแซงคันแล้วคันเล่าได้แบบไม่ต้องลุ้น และการได้ใช้ Paddle Shift ซึ่งเป็นคันเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย ก็ทำให้ผมไม่ต้องขยับมือลงมาที่คันเกียร์เลย ช่วยให้ผมโฟกัสไปที่การควบคุมพวงมาลัยได้ตลอดทาง

ที่ “สะพานซองกาเลีย” แห่งนี้ คือจุดถ่ายรูปในฝันของผมมานานแล้วล่ะครับ ว่าอยากจะมาถ่ายรูปสะพานมอญจากระยะไกลให้ได้สักครั้ง แม้ฝนจะตกยังไง ก็ไม่หวั่น เพราะอยากถ่ายมากๆ และพลังการซูมจาก S21 ทำให้ผมเก็บสะพานมอญมาไว้ในโทรศัพท์ชัดๆ คมๆ แบบนี้ครับ

คืนนี้ที่สังขละฯ ผมเลือกพักที่ “ชิลล์ชิลล์ สังขละบุรี” ครับ ได้ห้องพักแบบครอบครัว นอนกันได้ 5-6 คนเลยล่ะ คุ้มนะครับ สำหรับค่าห้องในราคา 1,101.60 บาท


ค่ำคืนแห่งความเย็นฉ่ำผ่านไป มาถึงอรุณรุ่งวันใหม่ ที่เรารอคอย ในการใส่บาตรทั้งพระไทย และพระมอญ ที่สะพานอุตมานุสรณ์ หรือ สะพานมอญ สะพานไม้ข้ามแม่น้ำที่ยาวที่สุดในประเทศ ไหนๆ ก็ตั้งใจจะใส่บาตรแล้วครับ ไม่ต้องพิธีรีตรองมาก เห็นชาวบ้านตั้งชุดใส่บาตรวางขายอยู่แถวๆ ทางลงไปสะพานมอญ ก็ช่วยอุดหนุนสักหน่อยครับ เศรษฐกิจช่วงนี้ไม่ดี นิดๆ หน่อยๆ ยี่สิบบาท ห้าสิบบาท ถ้าพอมีกำลังก็ช่วยกันไปพอเป็นกำลังใจ

ส่วนตัวผมชอบบรรยากาศยามเช้า และยามเย็นที่สะพานมอญมากๆ ครับ ในฐานะคนชอบถ่ายภาพคนหนึ่ง บรรยากาศทั้งสองช่วงเวลานี้ งดงามมากจริงๆ ด้วยทั้งวิถีชีวิตตอนเช้าที่เห็นคนทุกวัยนุ่งเครื่องแต่งกายชาวมอญออกไปทำงาน ตั้งแต่เด็กเล็ก ที่คอยต้อนรับนักท่องเที่ยว เชิญชวนให้ร่วมถ่ายภาพ พร้อมโชว์ความสามารถในการวางสิ่งของไว้บนศรีษะ เดินไปตามทางโดยที่ของไม่หล่น หรือหนุ่มสาวจนถึงวัยกลางคน ที่ออกมาชักชวนนักท่องเที่ยวไปใส่บาตรพระที่ได้ตระเตรียมไว้ให้ ไปจนถึงชาวมอญผู้สูงวัย ที่ออกทำไร่ไถนา ปลูกผักหาปลาเลี้ยงชีพเป็นกิจวัตร


บริเวณพื้นที่สำหรับใส่บาตรพระมอญที่ทางชาวบ้านได้เตรียมสถานที่ไว้ให้ ในวันที่นักท่องเที่ยวบางตา การรักษาระยะห่างตามมาตรการของรัฐก็เป็นไปโดยอัตโนมัติ

เมื่อใส่บาตรเสร็จ ก็ลงมาปล่อยปลาลงแม่น้ำใหญ่สายนี้กันครับ และได้ชมวิวสะพานมอญจากด้านล่างด้วย

ตลาดมอญ วันนี้ดูเงียบเหงามาก ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่บางตาลงมาก แต่ร้านค้าต่างๆ ก็พยายามแข็งใจ เปิดร้านคอยต้อนรับนักท่องเที่ยว ทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านกาแฟโบราณ รวมถึงบริการเรือนำเที่ยววัดวังวิเวการาม (เก่า) ที่จมอยู่ใต้น้ำ


Niche Cafe by Somchai Coffee
ขาออกจากตลาดมอญ หากยังไม่อิ่มท้องกับอาหารเช้าพื้นบ้านชาวมอญ หรืออาหารสมัยใหม่จากตลาดมอญแล้ว แวะมาชิมกาแฟสดหอมๆ ที่ Niche Cafe by Somchai Coffee สักหน่อยก็ได้นะครับ

พ่อหนุ่มในร้าน เล่าให้ฟังว่า ร้านนี้สร้างเสร็จเมื่อต้นปี 2563 กะจะเปิดรับนักท่องเที่ยวช่วงปีใหม่อยู่แล้วเชียว โควิดมาซะก่อน เลยต้องปิดยาวเลย นี่ก็เพิ่งได้มาเปิดช่วงที่พอได้ผ่อนคลายสักหน่อย
ร้าน Niche Cafe เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ช่วยเติมเต็มการมา เที่ยวสังขละบุรี ให้มีความหลากหลายมากขึ้นครับ
จริงๆ แล้ว Somchai Coffee เป็นร้านกาแฟสดดั้งเดิมในสังขละบุรีมานานแล้วล่ะ ผมรู้จัก Somchai Coffee ตั้งแต่ที่ทำหนังสือ Binoculars (เกือบสิบปีแล้ว) มาวันนี้มีการปรับปรุงตกแต่งร้านให้ทันสมัย สวยงามตามสมัยนิยมมากขึ้น



ส่งท้ายที่ไทรโยค
เมื่อได้เวลาอันสมควร ก็ถึงเวลาบอกลา “สังขละบุรี” กันแล้ว ปิดท้ายเมืองสังขละด้วยภาพถ่ายแนวภูเขาสีเขียวเข้ม พาดด้วยไอหมอกยามเช้า แม้จะสายแล้ว หมอกก็ยังไม่ยอมจากลาไปไหน เพื่อรอต้อนรับนักท่องเที่ยว ที่กำลังทยอยเดินทางเข้ามาพอให้ชาวสังขละบุรีได้คลายเหงากันบ้าง

ระหว่างทางขากลับจากการ เที่ยวสังขละบุรี ก็แวะน้ำตกเกริงกระเวียกันหน่อยครับ


มาถึงไทรโยคแล้ว ไม่แวะ “ทางรถไฟสายมรณะ” ก็เหมือนมาไม่ถึง การได้เดินบนทางรถไฟสายนี้ นอกจากความเสียวขา และต้องเดินอย่างระมัดระวังแล้ว หากใครเคยศึกษาประวัติศาสตร์ของทางรถไฟสายนี้ น่าจะพอนึกความโหดร้ายของสงครามได้ดี และมนุษย์ผู้เป็นสัตว์ประเสริฐ ต้องกลายเป็น “ทาส” ที่ถูกบังคับให้สร้างทางรถไฟแห่งนี้ในระยะเวลาไม่นาน เกิดความสูญเสียมากมายเพียงใด ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ให้ชนรุ่นหลังได้เรียนรู้เรียบร้อยแล้ว


ปิดท้ายทริป “เที่ยวสังขละบุรี” ด้วยการมาเดินบนทางรถไฟสายมรณะ แล้วแวะชม “ถ้ำกระแซ” ซึ่งในนั้นเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปให้ได้กราบบูชากันครับ
